วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

เรียนเพื่ออะไรเมื่อไม่ได้ทำ!!!



     วันนี้ว่างอยู่ก็เลยนั่งหาอะไรอ่านก็ไปเจอ Topic อันนึงในพันทิป ที่เล่าเรื่องน้องที่เรียนคอมฯคนนึงโทรมาหาเพื่อจ้างเขียนโปรแกรม ก็มานั่งนึกสะท้อนในใจว่า จริงๆแล้ว เด็กที่เรียนวิทย์ฯคอมเดี๋ยวนี้เป็นจริงอย่างที่เค้าว่าหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างที่เค้าว่าจริง แล้วเราจะเรียนให้มันจบยากไปเพื่ออะไร??? ในเมื่อมีสายให้เรียนง่ายๆกว่านี้ตั้งเยอะ มานึกย้อนถึงเราในสมัยที่เรายังเรียนอยู่ เอ๊ะเราก็เป็นอย่างที่เค้าว่าจริงๆหนิ เราเคยหาตัวช่วยเหมือนกาน แต่ตอนนั้นไม่มีใครช่วยเรา ผู้ที่สามารถจะปูทางให้เรามันก็มีน้อยนิส เมื่อเราหาทางไม่ได้ก็เลยเหนื่อย พอเหนื่อยก็พัก พอพักก็ลืม แล้วสุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ไปในสุด และแล้วก็เหลือแค่คำว่า เอาแค่จบก็พอ!!!! แม่เจ้าแล้วเราจะเรียนไปเพื่ออะไร???? บางคนโชคดีโค้งสุดท้ายขยันทำโปรเจคจบเอง อย่างน้อยก็พอถูๆไถๆไปได้ จนได้ทำงานตามดั่งฝันตั้งใจไว้... บางคนทำเองแต่เอาแค่ผ่านๆ ทำจบครั้งเดียว แล้วปฏิญาติกับตัวเองว่า ชีวิตนี้พอกันที กาละรูไม่เอาแล้ว...... บางคนเลวร้ายกว่านั้น ไม่ทำเลยจ้างเอา ขอเพียงแค่จบ คำถาม...แล้วความฝันที่เราตั้งใจไว้เราได้ทำตามฝันของเราหรือเปล่า วันแรกที่เราย่างเท้าก้าวเข้ามา สาขานี้เพื่ออะไร......
     ผมก็เลยเกิดไอเดียขึ้นมาในเมื่อผมคนนึงที่มีโอกาสได้ทำตามฝันตอนโค้งสุดท้าย ก็เลยอยากบอกว่ายังไม่สายที่จะเริ่ม ผมอยากทำอะไรสักอย่างนึงเพื่อให้มันเป็นจุดแชร์ไอเดีย พูดคุยเราประสบการณ์ทั้งคนที่ทำงานแล้ว นักศึกษาที่เรียนอยู่ อาจารย์ที่สอน หรือใครก็ตามที่อยากมาร่วมแชร์ มาช่วนกันพูดคุย แก้ปัญหา บอกแนวคิด อะไรทำนองนี้ เพื่อเป็นประโยชน์ให้ผู้ที่เริ่มต้นได้มีโอกาส ย่างเท้าเข้าสู้สายงานนี้
ผมจะเป็นคนนึงที่จะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ถึงแม้ว่าจะมีเวลาเพียงน้อยนิสก็ตาม.....

ปล.ลิงค์ที่อ้างถึง http://www.pantip.com/tech/developer/topic/DD3084806/DD3084806.html

ไอเดีย :: อาจจะเปิดกลุ่มเฟชบุสักกลุ่มหนึ่งที่เกี่ยวกับพวกนี้แล้วมาช่วยกันแชร์ไอเดียหาทางออกและปรึกษากัน
...ท้ายที่สุดนี้ ถ้ามีใครเห็นด้วยช่วย Comment ให้ผมด้วย เพื่อจะได้รู้ว่ามีผู้ร่วมไอเดียเยอะขนาดไหน หรือแชร์ไอเดียกันได้ ที่ Oriented_1@hotmail.com

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Programmer อาชีพที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ


       ปี 2555 ย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีที่แล้วผมได้เดินเข้าไปในรั่วมหาวิทยาลัยและเลือกเรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์ โดยที่แทบจะไม่รู้เลยว่า สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์คืออะไร รู้แค่เพียงว่าเกี่ยวกับคอม จบไปแล้วหางานได้แค่นั้นเอง ชีวิตช่วงนั้นของผมก็เลยเรียนๆเล่นๆ โดยไม่ค่อยได้คิดที่จะศึกษากับสาขาที่เรียนเท่าไหร่ ตอนสมัยเรียนก็ไม่มีอะไรหวือหวา จนกระทั้งมาถึงปีสุดท้าย ปีที่ต้องทำโปรเจคจบ(เด็กที่เรียนสาขานี้จะเข้าใจดีว่ามันเป็นอะไรที่เข้าใจยาก คนไม่เรียนไม่เข้าใจหรอก ^_^ ประมาณนั้น) ผมก็เปนหนึ่งในนั้นที่หาเหตุผลมาอ้างกับที่บ้านว่าทำไมเราถึงไม่จบซะที อ้างนู้นอ้างนี่ แต่จิงๆแล้วเราไม่ได้เริ่มทำอย่างจิงจังซะที (อันนี้มาเข้าใจทีหลังว่าที่จบช้าเพราะไม่เริ่มทำจิงจัง ^_^) จนวันนึง พี่สาวผมก็มาทำให้ผมสำนึก (ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียน Blog นี้) พี่สาวผมทั้งดุ ทั้งว่าถึงขั้นน้ำตาตก กดดันผมทุกด้าน ทำให้ผมต้องกัดฟันสู้ จากวันที่โดนดุ ผมก็เริ่มหันมาสนใจและใช้เวลาส่วนใหญ่กับการอ่านหนังสือ การเขียนโปรแกรม เริ่มต้นครั้งแรกตอนปลายเดือน มีนาคม 2553 หนังสือเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมเล่มแรกคือ Visual C# 2008 ถ้าจำไม่ผิด เล่มสีเขียว ผมลองอ่านและทำตามโดนไม่สงสัยว่าไอ้ที่เรากำลังเขียนอยู่มันหมายถึงอะไร เอาแค่เขียนแล้วผลลัพท์ออกมาก็แค่นั้น ลองทำไปเรื่อยๆ (ผมเป็นคนขี้สงสัย เขียนไปชอบสงสัยว่ามันหมายถึงอะไร เลยทำให้เขียนไม่ได้สักที) หลังจากใช้เวลาประมาณเดือนนึงกับการเขียนโปรแกรมไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเขียนเป็นขึ้นมานิสนึง!!! ก็เลยเริ่มกลับมาทำโปรเจค ตอนที่ผมทำเป็น Baby Project ชื่อโปรเจคว่า Program Capture VDO อะไรสักอย่างจำไม่ได้ เหตุที่ผมเรียกว่า BabyProject เพราะว่าพี่สาวผมเรียกอย่างนั้น ผมก็ยังเถียงพี่สาวนะว่า มันทำยากมาก กว่าจะทำได้ มันลำบากยากเย็น พี่สาวผมก็บอกว่า เออนั่นแหละ  Bayby Project งานจริงๆเค้าทำกันใหญ่กว่านี้เยอะ เราก็จำ แต่ก้อไม่ติดใจอะไร จนวันนึงที่เราจบแล้วเริ่มหางานทำ ผมก็ไปสมัครงานต่างหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นช่างซ่อมคอม คนขับรถส่งนม(สัมภาษณ์ให้เราไปขายนม) ครูวิทยาลัย ครูสอนคณิตศาสตร์(สัมภาษณ์แล้วให้เราไปตรวจข้อสอบ แถมต้องเสียเงินประกันด้วย) พนักงานห้าง และ บราๆๆๆ พี่สาวเห็นทีไม่ดีแน่เลยส่ง Resume ให้ ตอนนั้นผมอยากทำงานที่นครสวรรค์ เพื่อรอที่จะไปเป็นทหาร หกเดือน ปรากฏว่าหลังจากที่ไปสัมภาษณ์คนส่งนมได้สองวันก็มีบริษัทหนึ่งโทรมาให้เข้าไปสัมภาษณ์งานที่กรุงเทพ
      จุดเริ่มต้นของอาชีพโปรแกรมเมอร์  
       การเข้ามาสัมภาษณ์งานครั้งแรกในกรุงเทพนั้น ผมนั่งรถตู้มาจากนครสวรรค์ตอนเช้าเนื่องจากที่บริษัทนัดบ่ายโมง ผมเลยออกจากนครสวรรค์ฺ  9 โมงเช้ามาถึง 11 โมงกว่าๆ ก็เดินเล่นไปเรื่อยตามประสาเด็กบ้านนอกเข้าเมืองกรุง ถึงเวลาก็เข้ามาบริษัทก่อนเวลาประมาณ 15 นาที การสัมภาษณ์ครั้งนั้นเริ่มต้นด้วยการทำข้อสอบเกี่ยวกับการ Query SQL พื้นฐานธรรมดาทั่วไป Select from where join อะไรพวกนี้ ข้อสอบมีประมาณ 10 ข้อ ปรากฏว่าผมทำผิดหมดเลย  10 ข้อ ก่อนมาพี่สาวผมบอกให้อ่านหนังสือเกี่ยวกับ SQL Server มา ผมก็นั่งอ่าน 2 วัน แต่ไม่มีโอกาสได้ลองทำ นั่งเทียน Query เอาคิดว่ามันจาออก พอมสอบจิงนึกไอ้ที่ท่องไม่ออกครับท่าน แล้วก้อถึงเวลาสัมภาษณ์ ผมคิดว่าการมาครั้งนี้ต้อง Fail แน่ๆ คุยไปคุยมาปรากฏว่าได้ครับ งงเลย??? ผมสมภาษณืวันจัน พี่เค้าขอให้เริ่มงานวันพฤหัส ทดลองงานว่าจะทำได้หรือไม่ 7 วัน ผ่านโปร 3 เดือนตามมาตราฐานทั่วไป และนั่นก้อคือครั้งแรกที่มีโอกาสเข้ามาสัมผัสการอาชีพนี้เต็มๆ
       การเริ่มต้นงานนั้นวันแรกไม่มีอะไรตื่นเต้น หลังจากนนั้นก็เริ่มได้ยินคำว่า ERP คำถาม ERP คืออะไรวะ พอเริ่มสงสัยเริ่มต้องหาที่พึ่ง นึกอะไรไม่ออกก็อากู้ Google  ก็เลยพอรู้คร่าวๆว่า ERP คืออะไร หลังจากนั้นผมก็ได้โอกาส ได้รับมอบหมายงานที่จะต้องดูแลนั่นคือระบบ HR พอได้งานมาเราต้องมานั่งแก้ Code ที่เขียนไว้คราวนี้แหละประเด็น Code ที่เขียนไว้เขียนด้วย VB ผมเขียน C# มาโดยมีพื้นฐานนิสหน่อย งานก็ต้องทำ ความรู้ก้อมีน้อย Code ก็เปนแบบงูๆปลาๆ ผมเลยใช้วิธีขอ Code ที่ทำงานมานั่งไล่ที่บ้าน โดยการไล่ทีละตัวๆ เพื่อนทำความเข้าใจ Flow ของระบบเก่าเพื่อที่จะทำการแก้ไข (ช่วงนี้น้ำตาตกครับ กลัวทำงานไม่ได้ แต่หันหลังไม่ได้ต้องกัดฟันสู้อย่างเดียว ขอบอกน้ำตาตกอยู่ร่วมอาทิตย์ Code ที่เอามาก็เขียนอะไรไว้ไม่รู้ ไม่เหนรู้เรื่องเลย ไม่รู้ Code ไม่ดีหรือเราไม่เข้าัใจ???) หลังจากนั่นก็ต้องเริ่มทำเพื่อ IntegrateSystem ตอนนั้นผมทำ 3 Party ทำให้งานมีการแบ่งกันไปทำ เราต้องระบบไปรวมกับอีก 2 Party แรกๆเราก็เอาไปให้เค้ารวม ทำไปทำมาเราก็เอามารวมเอง และทำไปทำมา เราก็เอามารวมและทำทั้งหมด คราวนี้และเราเลยเข้าจัยคำว่า Baby Project ที่พี่สาวเคยพูดเลย ระบบนี้มี 12 Module ๆ ที่มี Page น้อยที่สุดคือ 6 Page มากที่สุดจำไม่ได้แต่เยอะแต่ละ Module มีความเกี่ยวโยงกัล บ๊ะ มันล่ะครับทีนี้ เป็นบทเรียนราคาแพงที่ไม่สามารถหาซื้อได้ มหาวิทยาลัยไม่มีสอน ต้องทำ ลองผิดลองถูก มีปัญหาตลอด ถ้าให้เล่าคงไ่ม่หมดเป็นแน่ พิมพ์ไม่ไหว ก็เลยค่อยๆเก็บประสบการณ์มาครับ จากนั้นก็เริ่มเป็นโปรแกรมเมอร์มาจนถึงปัจจุบัน

เรื่องราวจริงๆแล้วเยอะกว่านี้มากครับแต่ขอเล่าเอาเป็นวิทยาทานเพื่อเป็นกำลังใจให้สู้กันต่อไปเพียงเท่านี้ก่อนครับ

****หมายเหตุ****
-พี่สาวผมเป็น HR IT เลยสามารถชี้แนะผมได้ว่าสมควรจะทำอะไร(อันนี้เป็นความโชคดีครับ) และเป็นผู้แนะนำให้เขียนบทความนี้ขึ้น ^_^
-โอกาสเป็นของหายาก ถ้ามีโอกาสให้รีบคว้าแล้วพยายามทำมันก่อนที่จะบอกว่า ทำไม่ได้!!!
-พยายามทำ แม้ว่าต้องทำทั้งน้ำตาก็ต้องพยายาม เพราะว่า ถ้าคนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้ เพราะมีมือเท้าเท่ากัน


*****************
สุุดท้ายนี้หวังว่าบทความคงพอเป็นวิทยาทานได้บ้าง เพื่อคนที่กำลังท้อ จะได้มีแรงสู้ต่อไป  มีอะไรเพิ่มเติมสามารถติชมได้ครับ ^_^


วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วิชาที่เรียนจำเป็นหรือไม่

   ย้อนกลับไปเมื่อสมัยหนุ่มๆ(ทำอย่างกะตอนนี้แก่มาก ^_^ ) ตอนเรียนสาขา Computer Science เคยบ่นๆกับตัวเอง กับเพื่อน ว่าไอ้วิชาที่เราเีรียนๆไปเนี้ยมันมีประโยชน์อย่างไรหว่า วันนี้ได้มาอ่านเจอ comment ของรุ่นน้องคนนึงที่บอกว่าตัวเองคิดผิดที่เรียนสาขานี้ เลยเป็นแรงบันดาลใจให้เขียน Blog นี้ขึ้นมา เพื่อนรุ่นน้องที่เรียนอยู่จะได้เห็นความสำคัญของวิชาต่างที่เรียนขึ้นมา ^_^

   เริ่มที่วิชาแรกตอนปี 1 Mathematics for Computer หรือชื่อเรียกภาษาไทยว่า คณิตศาสตร์สำหรับคอมพิวเตอร์ วิชานี้ผมเรียนถึง 2 รอบ เนื่องจากติด E พอจบมาต้องขอขอบคุณที่ได้เรียน 2 รอบ เพราะว่าวิชานี้ใช้อย่างจังๆ เรื่องที่จำเป็นมากคือเรื่องตรรกศาตร์ หรือที่เรารู้จักในนาม จิงเท็จ เท็จจริง นั่นเอง ในการเขียนโปรแกรมหรือว่าระบบเราต้องคิดตลอดว่ามันจะเป็นจริงหรือเท็จนั่นเอง ^_^
   

   ต่อมา Principles of Programming นามไทยว่า หลักการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ วิชานี้สำคัญยิ่งนัก เพรามันคือพื้นฐานของอาชีพเราๆสิ่งที่จำเป็นมากที่สุดคือการประกาศตัวแปล(ขอบอกชื่อตัวแปลตั้งยากมาก ถ้าไม่รวม ตัวแปล x,y,z,a,i อะไรพวกเนี้ย ผมประสบปัญหาการตั้งชื่อตัวแปลอย่างมากในช่วงแรกๆ)  การเขียนเงื่อนไข อย่างเช่น if,else,for เป็นต้น เรื่อง Syntax เข้าใจวิธีใช้ Syntax ของภาษา เครื่องหมายในการคำควณ การ Convert Type พวกนี้เป็นต้น
  

   อันดับที่ 3 Data Communications and Computer Networks ชื่อไทยว่า การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ วิชานี้เป็นที่รู้ๆกัลครับ วิชานี้จะสอบให้รู้จักเครือข่ายของ Network และความสามารถของมันที่ใช้บ่อยและจำเป็นต้องรู้เบื้องต้นอย่างเช่น Man,Wan,Lan Intranet,Internet พวกนี้ว่าต่างกัลอย่างไร เรื่องนี้รู้คร่าวๆครับไม่ขออธิบายอะไรเยอะ ขอผ่าน!!!


  อันดับที่ 4 Database System หรือชื่อไทยว่า ระบบฐานข้อมูล เรื่องนี้สำคัญยิ่งนักจากประสบการณ์ที่ผ่านมา Database ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เนื่องจากในการเขียนโปรแกรมแล้วต้องมาแก้เพราะแกรมเพราะโครงสร้างดาต้าเบสผิดไม่ดีเป็นแน่แท้ เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนรู็ในเรื่องของการตั้ง Type ใน Database Char,VarChar,Nvarchar,Number,Tesx,Decimal ว่ามันใช้ต่างกัลยังไง และเรื่องที่จำเป็นมากๆและมั่นใจว่ายังไงก็เจอคือ normalization คนที่อยากเป็น Sa เจอแน่ๆ เรื่องนี้ถ้าให้อธิบายว่ามันสำคัญยังไงคงยาว หน้านึงผมว่าไม่พอ เอาเป็นว่ามันสำคัญมากๆเรื่องนึงละกันครับ เด๋วว่างๆผมจะเขียน Blog ให้อ่านกัล


   อันดับที่ 5 Computer Programming หรือ การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ คล้ายอันที่ 2 ครับ แต่ว่าต้องตั้งจัยกว่าเดิม โดยหลักการคล้ายๆกัลครับ แต่เมื่อจบแล้วต้อง Advance ขึ้นนิสนึง ^_^


   อันดับที่ 6 Systems Analysis and Design นามไทย การวิเคราะห์และออกแบบระบบ เรื่องนี้มิอาจแพ้จากข้อที่ 4 เลยทีเดียวสำหรับคนที่มีความ กระเหี้ยนกระหือรือ ในอาชีพ Sa วิชานี้ตอนเรียนเคยถามตัวเองว่ามันจะได้ใช้หรอวะ เรียนไปทำแปะอะไรวะ(แบบหยาบๆ เลยนะเนี้ย) พอทำงานเอาจริง แม่เจ้าโดนเต็มๆ วิชานี้สำคัญเพราะว่ามีผลกระทบกับระบบทั้งระบบ Databse ทั้งก้อน เพราะ Flow เริ่มต้นผิด คิดเอาละกันครับว่าที่เหลือจะเป็นเยื้องไร แล้วพอ Flow ผิดคิดต่อเอาละกันนะครับว่า Programming จะเป็นเยื้องไร(ในกรณีที่ Dev ไปแล้วนะจ๊ะ) ความสำคัญอยู่ที่วิเคราห์ความต้องการให้ขาดและจบ แล้วมองถึงผลลัพธ์ที่จะออกมากแล้วมาวิเคราะห์ ประมานนั้น ^_^


   อันดับที่ 7 Object Oriented Programming หรือ OOP!!! นามไทย การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ วิชานี้ต้องรีบบอกเลยเพราะผมเป็นคนนึงที่บ่นอย่างหลายๆเลยว่าเรียนไปทำไม ไม่เห็นจะรู็เรื่องเลย เอาเข้าจริง ใช้อย่างหนักหน่วงเลยครับ อย่างเช่นการเข้าถึงตัวแปล การพาส Object การ innitialize การเีขียนโปรแกรมแบบ Ntier และอื่นๆอีกมากมาย เป้าหมายคือการลด Code และนำ Code มาใช้ร่วมกัล เพื่อให้ง่ายต่อการแก้ไขงาน และการปรับใช้ จริงๆแล้วเรื่องนี้ไม่ยาก เพียงแต่ต้องอยู่กับมันนานๆเท่านั้นเอง


   อันดับที่ 8 Project Management หรือ การจัดการโครงการ เรื่องนี้ผมคิดว่านะจะสำคัญสำหรับคนที่อยากจะเป็น PM(Project Manager อาชีพที่ฝันถึง) เพราะว่าเราต้องเรียนรู้เรื่องการประเมินงาน กำลังคน ระยะเวลา ต้นทุน ผลกำไร เทคโนโลยีที่ใช้ และอื่นๆอีกเยอะแยะ เป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงแลกมาด้วยความเหนื่อยที่คุ้มค่า ไม่ขอพูดเยอะเอาไว้ได้เป็นแล้วจะมาเล่าให้ฟัง ^_^


   อันดับ 9 Web Programming การเขียนโปรแกรมสำหรับเว็บ เรื่องนี้ตอนผมเรียนไม่ตั้งใจ แต่เหมือนเวรกรรมมีจริงสุดท้ายแล้วต้องมาเขียน Web Application เรื่องที่น่าสนจัยที่สุดคือ การส่งค่าการเก็บค่าบน Session,Viewstate,Querystring เป็นต้น อื่นๆที่ต้องรู้เพิ่มจะมีประโยชน์ Javascript,Css,JQuery ภาษาที่เขียนก็มีมากมายไม่ว่าจะเป็น PHP,ASP,ASP.Net,JSP และที่กำลังนิยมใช้ใน ญี่ปุ่นคือ Ext ยิ่งเขียนมากเท่าไหร่ยิ่งมี เทคนิคมากขึ้นเท่านั้น


  อันดับ 10 Object-Oriented Analysis and Design การวิเคราะห์และออกแบบเชิงวัตถุ วิชานี้จะเน้นในทางการออกแบบที่เป็น oop มากขึ้น จะเป็นความเป็น Flow System อย่างชัดเจน อันนี้ก็ใช้เยอะสำหรับ Sa ส่วนใหญ่จะเป็น Procress ในการทำงานของแต่ละ Module เพื่อให้ Deverloper เข้าจัย Flow System 


  และวิชาที่สำคัญที่สุด คือ Special Topics in Computer Science หรือ หัวข้อพิเศษเกี่ยวกับวิทยาการคอมพิวเตอร์ วิชานี้โดนเต็มๆ เพราะทำให้เด็กไม่จบเยอะมาก วิชานี้จะเอาวิชาที่เรียนมาทั้งหมดมาประเมินความรู้ และจะได้ใช้ทุกวิชาจริงๆ 


วันนี้ขอคร่าวๆแค่ 10 วิชาก่อนนะครับ


***ท้ายที่สุดนี้หวังว่า Blog นี้จะมีประโยชน์ ภาษาอาจมีความผิดพลาดเรื่องภาษาต้องขออภัยด้วยเนื่องจากต้องรีบไปทำงานแล้ว ติชมหรือพูดคุยเพิ่มเติมที่ Comment ข้างล่าง หรือ Email : Oriented_1@hotmail.com ***




  

วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หางานไม่ยาก ถ้าเตรียมตัวดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

หลังจากที่เข้าไปอ่าน Post ของเพื่อน CS49 ในเฟสบุคเกี่ยวกับเรื่องการสัมภาษณ์งาน และการสมัครงานก็เลยเกิดเป็นประเด็นที่น่าสนจัยขึ้นมา ว่าสายงานอย่างเราๆนั้น(Computer Science) เวลาจบมาแล้วไปเป็นอะไรกัล เวลาหางานหากันอย่างไง แล้วงานหาได้จากที่ไหน ก็เลยอยากจะแชร์ไอเดียครับ ผมนั้นจบ CS ปีั 53 จากนั้นก็หางานทำที่นครสวรรค์อยู่ประมาณเดือนนึงครับ ไปหาทั้งตามโรงเรียน วิทยาลัย ห้างร้าน และอีกหลายๆที่ ได้เรียกสัมภาษณ์อยู่ประมานสองที่ครับ ก็ไปสัมภาษณ์ทุกที่ครับ แล้วก็ได้ทุกที่เหมือนกัน สุดท้ายผมเลือกงานที่ร้านซ่อมคอมแห่งหนึ่ง ไปทำงานอยู๋ 1 วันถ้วน ก็ลาออกครับ เพราะว่ารับความรับผิดชอบในงานเมื่อเทียบกับเงินที่ได้รับในแต่ละวันไม่ไหว สุดท้ายก้อตุ๊บปัดตุ๊บเป้ซัดเซมากรุงเทพครับ เริ่มด้วยการมีคนโทรเรียกมาสัมภาษณ์แถวแจ้งวัฒนะที่ Software Park ก็ลองตัดสินใจมาเพราะไม่มีอะไรจะเสีย พกความมั่นใจมาเต็มที่ เตรียมแฟ้มพรีเซนตัวเองมาอย่างดี นั่งรถมาความรู้สึกตัวเองตัวเท่าช้าง ว่าเราเก่งกล้าสามารถ พอเดินทางมาทถึงทำข้อสอบ พอเห็นข้อสอบเท่านั้นแหละครับ จากช้างเหลือเท่ามดเลย ทำข้อสอบผิดเกือบหมดคครับ(ข้อสอบที่ทำเปน SQL ครับ บังเอิญตอนทำจบไม่ได้ Connect Database) แต่หลังจากที่พูดคุยก็ได้เริ่มงานครับ อาจเป็นเพราะโชคช่งยมั้งครับที่เค้ากำลังต้องการคนพอดี บริษัทที่เริมเป็นบริษัทเล็กครับ มีพนักงาน ณ ขณะนั้น รวมผมด้วยก็ 4 คน เป็น Software house งานที่เีีขียนก็เปนงาน Develop ทั่วไปครับ ผมได้รับโปรเจคใหญ่ครับ(อย่างน้อยก็ใหญ่ที่สุดของผม)เป็นงานพัฒนาระบบ HR(Heman Resouse Managment) หลังจากที่เริ่มงานได้มีโอกาสทำงานกำผู้ที่มีความสามารถในการออบแบบ Software เอาซะงงไปเลย จริงแล้วเค้าก็พูดภาษาเราๆนี่ล่ะครับ แต่เราไม่เข้าจัยเอง พวกนี้ต้องเก็บเกี่ยวครับ ผมทำงานที่นั่นได้ 11 เดือนต้องไปเปนทหาร ตอนนี้กลับมาเป็น .Net Programmer เหมือนเดิมแต่ว่าเป็นที่ทำงานใหม่ เจออะไรอีกเยอะพอสมควรครับ ก็เลยเอามาเล่าสู้กัลฟังส่วนเรื่องของงานของเราๆนะครับ มีหลายอย่างที่เราสามารถทำได้นอกเหนือจากโปรแกรมเมอร์ อย่างเช่น PA(Project Admin) SA(System Analist) PG(Programmer) Tester(Software Testing) System Support(ตรงตัวครับ) System Admin(คล้ายๆ System Support)และอื่นๆอีกเยอะแยะครับ แต่ละตำแหน่งก็จะมีเลเวลที่แตกต่างกัลไปครับ
การหางานของสายงานเราที่ยังไม่มีประสบการณ์นั้นทำได้ค่อนข้างยากครับอยู่ที่วิธีเขียน Resume ให้น่าสนใจ เพราะเป็นหน้าต่างบานแรกในการสมัครงาน แนะนำว่าเขียนเป็นภาษาอังกฤษครับ รู้งูๆปลาๆก้อใส่ไปครับ แต่จำด้วยนะครับว่าอะไรแปลว่าอะไรไม่งั้นเวลาไปสัมภา่ษณ์จิงๆอาจงงไำด้เพราะบางที่อาจมีการกรอกใบสมัครเป็นภาษาอังกฤษ คำแปลกๆเยอะครับ ^_^ ทักษะการเขียน Resume ให้น่าสนจัยเป็นเรื่องยาก เอาเป็นว่าเราอ่านแล้วเราพอใจตอนไหนก็ตอนนั้นแหละครับ น่าสนใจแล้ว การเตรียมตัวก่อนไปสัมภาษณ์ก็แนะนำให้มีแฟ้มสัมอันนึงครับ มีอะไรที่จะโชว์ใส่ไปให้หมดครับ เตรียมไว้ในกรณีืีที่เค้าาอยากจะดูเราพรีเซ้น อย่าลืมหลักฐานส่วนตัวนะครับ พวกทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน วุฒิการศึกษาที่เป็นสำเนาน่ะครับ การแต่้งตัวก็ ลุ่มๆดอนครับ เอาให้เรียบร้อยที่สุด ถ้ามองในกระจกว่าเรียบร้อยก็โอเคครับ ร้องเท้านี่ห้ามแตะเด็ดขาดนะครับ ไม่สภาพอย่างแรงครับ น่าจะยกเว้นก็กรณีน้ำท่วมครับ การตอบคำถามครับ ถามมาก็ตอบไป มีโอกาสพรัเซนตัวเองได้ก้อพรีเซนครับ เล่าเรื่องของงานประสบการณ์ พวกเนี้ยอ่ะครับ เพื่อลดความตรึงเครียด เปิดโอกาสความเป็นกันเอง และให้ผู้สัมภาษณ์เห็นความเป็นตัวเรามากขึ้นครับ ถ้าผู้สัมภาษณ์มีประสบการณ์มาก ความตรึ่งเครียดจะน้อยอยู่แล้วครับ การได้งานไม่ได้งานสามารถรู้ได้เลยในบางที่ และมีการโทรแจ้งทีหลัง ส่วนใหญ่แล้วถ้าได้จะโทรวันนั้นเลย ถ้าไม่ได้ก็จะหายยยย ไปเลย จิงๆแล้วเรื่องราวการเริ่มต้นมีเยอะครับที่อยากจะ้เล่าให้ฟัง แต่ว่ามือมันพิมพ์ไม่ทันตามหัวคิด เลยได้เท่าที่ได้นี่ล่ะครับ ขอให้โชคดีมีงานทำ มีปัญหาสอบถามได้จากจากเ้มลใน บล๊อคข้างล่างนะครับ
ปล.การเรียกชื่อตำแหน่งอาจไม่ตรงกัลในแต่ละบริษัท และคำที่แสดงอาจผิดพลาดประการใดขออภัยเนื่องจากเราต้องการเล่าเนื้อหา

วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

จุดเริ่มต้นของคนเขียนโปรแกรม

จิงแล้วผมเพิ่งจาเริ่มเขียนโปรแกรม แต่ก้อยังไปไม่ถึงไหนซักที ส่วนภาษาที่ผมเลือกที่จะจับคราวนี้คือภาษา c# สำหรับใครที่จับเหมือนกันก้อช่วยเค้ามาแนะนำผมได้นะครับ เพื่อทำผิดพลาดประการใด ก้อจะได้ร่วมกันช่วยแบ่งปัน สำหรับใครที่คิดจะเริ่มเหมือนกันจะได้มีที่พึ่ง เพราะว่าตอนที่ผมเริ่มนี้หาที่พึ่งยากมากม มีข้อสงสัยหลายข้อแต่ก้อหาที่พึ่งไม่ได้ซักที งง กับคำถามหลายข้อ เช่น ทำไมc# ต้องเป็น using ทำไม java ต้องเป็น import เป็นต้น เป็นคำถามที่้เวลาเข้าไปเรียนบางทีอาจารสอนแต่ไม่เข้าจัย หรือว่าบังเอิญไปคุยโทรศัพย์กับกิ๊กแล้วไม่ได้ฟัง พอไปถามอีกรอบก้อโดนดุว่าตอนอาจารสอนทำไมไม่ฟัง ถามเพื่อนๆก้อบอกว่าเราโง่ เป็นอย่างนั้นไป แต่สิงเหล่านี้ผมจะพยายามรวบรวมมาไว้ใหผู้ที่สนจัยเข้ามารว่มด้วยช่วยกันสร้างสังคมของผู้ที่ไม่รู้ขึ้น เพราะผมก้อเป็นคนนึงที่ขี้สงสัย และอยากหาคำตอบให้ได้เพื่ออนาคตของโปรแกรมเมอร์ไทย หรือ ผู้ที่จะเป็นอาจารในอนาคต จะได้ตอบคนรุ่นหลังว่า ทำว่าต้อง using ทำไมต้อง import

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กีฬาน้องใหม่สัมพันธ์52

วันที่15..ก.ค...เป็นวันที่มีการแข่งขันกีฬาน้องให้สัมพันธ์ที่วิลัยผม..ซึ่งผมก้อเลยเก็บภาพ
บรรยากาศมาฝากกันนิสๆหน่อยๆ..ซึ่งภาพข้างล่างเป็นภาพการเดินของขบวนพาเหรด
ซึ่งเป็นทีมงานขององค์การบริหารนักศึกษาที่ผมทำงานอยู่ครับ











วงดุริยางค์ได้มาจากโรงเรียนสตรีนครสวรรค์.ซึ่งมีดามเยอร์ที่น่ารักไม่เบาเลย..ถ้ามองดีๆนะ










ต่อมาเป็นภาพนายกพร้อมกับลูกทีมมาร่วมกล่าวรายงานซึ่งมีผ,รวมอยู่ด้วย..555










ประธานในพิธีตัดลิปบิ้น










ด้านล่างเป็นรูปแสตนเชียร์แต่ละคณะซึ่งเรียงดังนี้..ครุศาสตร์..มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์..วิทยาการจัดการ
คณะเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม..และสุดท้ายคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี




















มหาวิทยาลัยของผมมีทั้งหมดห้าคณะ..ครั้งนี้มีรูปมาฝากพอหอมปากหอมคอ..ถ้าอยากดูอีกต้องลองมาดูที่วิลัยของผม
ตอนกีฬาคณะรับรองว่างานอลังการกว่านี้อีกเยอะเลย

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ประชุมแห่งขาติการศึกษา(สกอ จัด) อิมแพ็ค วันที่ 2-3 ก.ค

การประชุมวิชาการระดับชาติ “2552

ปีแห่งคุณภาพการอุดมศึกษาไทย

เป็นการประชุมเพื่อดูอดีตของการศึกษาว่าเจออะไรมาบ้างพูดง่ายๆก็คือกาประชุมเพื่อมองถึงปัญหาที่
เกิดขึ้นของการศึกษาไทย แล้วนำมาเผยแพร่เพื่อให้ทุกคนมองเห็นแล้วนำแนวทางไปปฏิบัติตาม
(แต่ดูจากที่มองเห็นถ้าปฏิบัติตามสัก 20 % จาก 2000 กว่าคนก้อน่าจะโอนะ อิอิ!!) โดยการจัดงานนี้มีวัตถุประสงค์หลักๆ คือ
-เพื่อเป็นเวทีเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และประสบการณ์เกี่ยวกับคุณภาพการศึกษา
-เพื่อเป็นเวทีแสดงผลงานและแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดีในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาระหว่างสถานศึกษา
-เพื่อเป็นเวทีให้ผู้ผลิตบัณฑิตผู้ใช้บัณฑิตนิสิตนักศึกษาและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนของสังคมได้มาพบปะกัน
- เพื่อเป็นเวทีประกาศเกียรติคุณและมอบรางวัลแก่สถานศึกษา
โดยรวมแล้วก็เปงโครงการที่ดีทำให้เราเห็นอะไรเยอะขึ้นกว่าเดิม(มั้ง)ถึงแม้ว่าบางทีเวลาที่ท่านวิทยากร
พูดเราจาฟังไม่รู้เรื่องก้อเถอะ(รายละเอียด คลิกที่นี่)

คราวนี้มาดูบรรยากาศในงานดีกว่า

สิ่งของที่ได้สิ่งแรกเมื่อไปถึงคือประเป๋า สกอ. พร้อมกับอาหารว่างตอนเช้า(แพ็คเก็จอยู่ในเกณฑ์ดีครับ)

















เมื่อเปิดดูข้างในพบว่ามีขนมปังอยู่ 2 ชิ้น พร้องกับน้ำผลไม้อีก 1 กล้อง




















บรรยากาศเปิดงานจริงๆแล้วต้องไปเปิดที่ห้องประชุมใหญ่แต่คนเยอะมาก เลยมานั่งดูถ่ายทอดสดอีกห้องนึง คนน้อยกว่ามักมาก














ไปขอถ่ายรูปร่วมกับศาสตราจารย์สายชล เกตุสาพึ่งได้รับรางวัลมาใหม่ๆเลย(จำชื่อรางวัลไม่ได้)
รู้อย่างเดียวท่านทำวิจัยหลายเรื่องมากไปอ่านประวัติมาอิอิ(ขออภัยด้วยนะคร๊าบ)















อันนี้ไปเล่นเกมส์ตัวต่อทรงคณิตมาอิอิสวยสุดได้แค่นี้แหละ 555+















อันนี้ไม่เกี่ยวไรกับรูปทรงคณิตเห็นรุ่นน้องน่ารักดีเลยไปขอถ่ายรูปเอามาให้ชมเป็นบุญตา
(ตอนถ่ายรูปนี้เหงหน้าเค้าเหมือนดาราเลยนึกว่าเปงดารา บ้านนอกจริงๆเรา 555+)















อันนี้ไปเจอความรู้มาเกี่ยวกับการเรียนออนไลน์เลยเอาโมเดลมาให้ดูกัน




























ที่น่าสันจัยอีกอันนึงก็คือ
TCU(Thailand_Cyber_University)<<<---สนจัยคลิกเลยเป็นโครงการที่ทำขึ้นมาเพื่อให้ผู้ที่สนจัย ลองเข้าไปเรียนแบบออนไลนกันได้มีE-Learningเยอะมากพี่เจ้าของบู๊ตเค้าบอกว่ามากกว่า400วิชายังไม่ได้ลองเหมือนกันถ้าลองแล้วจะมาบอกนะคร๊าบ













ภาพสุดท้ายทิ้งไว้กับป้ายบอกทางในอิมแพ๊คเพื่อใครไปจะหลงเหมือนผม 555+ยังไงเด๋วลองไปหาข้อมูลเรื่องTCUก่อนนะคร๊าบแล้วจะนำรายละเอียดที่น่าสนจัยมาบอกกันนะคร๊าบ